นายไชยวัฒน์เข้าสู่การเมืองครั้งแรกด้วยการเป็นสมาชิกกลุ่มรวมพลัง เพื่อสนับสนุนพลตรีจำลอง ศรีเมือง ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อ พ.ศ. 2528 ต่อมาได้ร่วมก่อตั้งพรรคพลังธรรมกับพลตรีจำลอง ศรีเมือง และได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคและเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นายไชยวัฒน์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา และรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมแทนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค และทิ้งพรรคไปหลังพรรคไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539

ในการเลือกตั้งเมื่อปลายปี พ.ศ. 2550 นายไชยวัฒน์ได้ลงเลือกตั้งสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง

ในการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในปี พ.ศ. 2549 และการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนพื่อประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2551 นายไชยวัฒน์เข้าร่วมด้วย มีบทบาทเป็นผู้นำมวลชนปิดถนนที่จังหวัดนครราชสีมา จนถูกแจ้งจับในข้อหากบฏต่อแผ่นดิน จนกระทั่งในวันที่ 3 ตุลาคม นายไชยวัฒน์ถูกตำรวจจับกุมขณะอยู่บนทางด่วน ขณะออกจากที่ชุมนุมไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านของนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ

ชีวิตส่วนตัว นายไชยวัฒน์เป็นคนที่รับประทานมังสวิรัติเป็นอาหาร จนได้รับฉายาว่า "มหาไชยวัฒน์" แบบเดียวกับที่ พล.ต.จำลองที่ได้รับว่า "มหาจำลอง"

นายไชยวัฒน์เคยเป็นผู้ให้ความคิด ความเห็นเรื่องบ้านเมืองทาง F.M. 92.25 MHz เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-17.00 น. แต่ได้ยุติไปในกลางปี พ.ศ. 2552 พร้อมกับนายไพศาล พืชมงคล[2]

ปัจจุบันได้ร่วมกันก่อตั้งช่อง ๑๓ สยามไท ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ร่วมกับกลุ่มที่มีความเห็นทางการเมืองในทางเดียวกัน อาทิ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน, นายสมบูรณ์ ทองบุราณ, น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ นายอธิวัฒน์ บุญชาติ นายการุณ ใสงาม เป็นต้น

ในส่วนของการตั้งพรรคการเมืองใหม่ของทางกลุ่มพันธมิตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น นายไชยวัฒน์ไม่เห็นด้วย[3] และได้วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ ทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ และหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ คนที่ 2 กล่าวหาว่านายไชยวัฒน์กำลังจะไปตั้งพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งร่วมกับ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และมีการกล่าวหาอีกว่า นายไชยวัฒน์เป็นพันธมิตรฯตัวปลอม ซึ่งเรื่องนี้นายไชยวัฒน์ได้ปฏิเสธ และยืนยันว่าสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยจะไม่แปรสภาพเป็นพรรคการเมืองเด็ดขาด[4][5]